คุณสมบรูณ์ ศรีสุบัติ
ณสมบูรณ์ ศรีสุบัติ (ลุงนิล) อายุ 58 ปี เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ศาสนาพุทธ สถานภาพ สมรส อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 14 หมู่ 6 บ้านทอนอม ตำบลช่องไม้แก้ว อำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 อาชีพหลักเดิมคือ ทำสวนทุเรียน ปัจจุบันทำเกษตรแบบ ผสมผสาน ได้แก่ ปลูกพืชคอนโด 9 ชั้น เลี้ยงปลา เลี้ยงหมู ฐานะทางเศรษฐกิจ มีเงินใช้จ่ายเกินพอ มีรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อเดือน มีระดับความพึงพอใจในชีวิตมาก ภรรยามีอาชีพแม่บ้านและ เกษตรกร มีบุตร 2 คน คนโตเป็นบุตรชาย คนที่สองเป็นบุตรสาว ทั้งสองคนจบการศึกษา ระดับอุดมศึกษา และปัจจุบันต่างก็ช่วยบิดามารดาทำการเกษตรแบบผสมผสาน ในอดีตบุตรชาย คนโตเคยทำงานอยู่กรุงเทพฯ และในที่สุดก็ได้กลับมาช่วยบิดาทำการเกษตรแบบผสมผสานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ส่วนลูกสาวทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของบิดามาโดยตลอด ลุงนิลได้รับการคัดเลือกเป็น เกษตรกรดีเด่นและเกษตรกรตัวอย่างบ้านทอนอม อำเภอทุ่งตะโก ของจังหวัดชุมพร อีกทั้งยังเป็น เกษตรกรตัวอย่างของประเทศ ปัจจุบันลุงนิลเป็นหัวหน้าศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงของบ้าน ทอนอม เป็นผู้นำและสมาชิกของกลุ่มชุมชนต่างๆ หลายกลุ่ม
รูปแบบการเกษตรแบบผสมผสาน
ลุงนิลได้รับแนวคิดการทำเกษตรแบบผสมผสานจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ซึ่งในขณะนั้น ลุงนิลทำการเกษตรเชิงเดี่ยว ปลูกทุเรียนอย่างเดียวและเป็นหนี้สินประมาณ 2 ล้านกว่าบาทจากการกู้เงินมาซื้อปุ๋ยและใช้จ่ายในการบริหารแปลงเกษตรของตนเอง ลุงนิลกล่าว ว่าช่วงนั้นเป็นวิกฤตของชีวิต เป็นจุดพลิกผันที่ทำให้ชีวิตของตนเองมีความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่ หลวง ลุงนิลเล่าว่า
“… รู้สึกเครียดมาก คิดอยากฆ่าตัวตาย ในขณะที่กำลังใช้ปืนจ่อหัว ได้ยินพระ ราชดำรัสของพระองค์ท่านเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงในโทรทัศน์ เท่านั้นเอง… น้ำตานองหน้า เลิกล้มความตั้งใจในการจบชีวิตตนเอง ก้มลงกราบกับพื้นและ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านเป็นล้นพ้น
ณ วินาทีที่ลุงนิลได้ยินพระราชดำรัสของพระองค์ท่านเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง เป็น การจุดประกายแห่งความหวัง ทำให้คนที่มืดมนในความคิด มองไปทางไหนก็ไม่พบทางออก ได้มองเห็นแสงสว่างจนมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชีวิต ตอนนั้น ลุงนิลกลัมมามีสติและคิดว่าหาก ตนตายไปแล้วลูกและครอบครัวจะอยู่อย่างไร คิดได้ดังนั้น จึงได้ยุติความคิดในการจบชีวิตตนเอง และมุ่งมั่นที่จะเดินไปข้างหน้าด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง จึงเริ่มทำการเกษตรแบบ ผสมผสาน ดำเนินรอยตามพ่อของแผ่นดินตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
บนพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 17 ไร่ ลุงนิลทำเกษตรแบบผสมผสานโดยการเลี้ยงปลา เลี้ยงหมู และปลูกพืชคอนโด 9 ชั้นซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1. ในน้ำ ปลูกบัว
2. ชั้นใต้ดิน ปลูกพืชหัว เช่น กระชาย กลอย มันหอม
3. บนดิน ปลูกผักเหลียง พริกขี้หนู กระเพรา ตะไคร้
4. ปลูกส้มจี๊ดประมาณ 1,000 ต้น เก็บได้ประมาณ 70 กิโลกรัมต่อวัน ขายได้ราคา ประมาณกิโลกรัมละ 20-60 บาท แล้วแต่ฤดูกาล บางครั้งมีรายได้จากการขายส้มจี๊ดประมาณ 2,000 บาทต่อวัน
5. ปลูกกล้วยเล็บมือนางประมาณ 1,000 กอ เก็บเป็นรายได้ต่อสัปดาห์ ขายได้ประมาณ 5,000 บาท/สัปดาห์
6. ปลูกทุเรียนหมอนทองประมาณ 700 ต้น เก็บตามฤดูกาล ปีละครั้ง รายได้ขึ้นอยู่กับ ราคาตามท้องตลาด
7. ปลูกพริกไทยซึ่งเป็นพืชเกาะเกี่ยว กระท้อน ขนุน ซึ่งมีการเก็บผลผลิตหมุนเวียนไปทั้ง ปี รวมรายได้ประมาณ 300,000 บาทต่อปี
8. ปลูกไม้ยืนต้นประมาณ 1,300 ต้น ซึ่งเพิ่งจะปลูกได้ 1 ปี มีต้นมะฮอกกานี ต้นตะเคียนทอง ต้นจำปาทอง เป็นต้น ซึ่งไม้เศรษฐกิจเหล่านี้ หากมีอายุครบ 20 ปีจะมีมูลค่า ประมาณ 100,000 บาทต่อต้น ซึ่งต้นไม้เหล่านี้ลุงนิลกล่าวว่าตนปลูกไว้ให้เทวดาเลี้ยงหมายความว่า ปลูกไว้แล้วต้นไม้จะโตเองโดยธรรมชาติ
9. ปลูกต้นไม้ยางนาเพื่อถวายในหลวงเป็นพิเศษ ต้นสูงเต็มที่จะมีขนาดประมาณ 40-50 เมตร
ในสวนของลุงนิลไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมีมาเป็นเวลานานนับตั้งแต่เริ่มต้นทำเกษตรแบบ ผสมผสานและได้รับแนวคิดเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งลุงนิลเล่าว่า “…ในสวนนี้ไม่มีสารเคมี ไม่มีปุ๋ยแม้แต่เม็ดเดียวเลยมา 12 ปีแล้ว และยาฆ่า หญ้าก็ไม่มีครับ…” การไม่ใช้ปุ๋ยและสารเคมีใดๆ ในสวนมาเป็นเวลานาน กลับพบว่า สภาพดินยิ่งมีความอุดม สมบูรณ์มากกว่าในอดีตที่เคยใช้ปุ๋ยเคมี เพราะการใช้ปุ๋ยเคมีอาจทำให้ได้ผลผลิตมากเป็นที่น่าพอใจ
ในแปลงเกษตรของลุงนิล มีการเลี้ยงปลา เลี้ยงหมู และเลี้ยงไก่ มูลหมูสามารถนำมาใช้ เป็นอาหารปลาได้ ส่วนมูลหมูและมูลไก่ใช้ทำเป็นปุ๋ยให้กับพืชผักสวนครัวต่างๆ ที่ลุงนิลปลูกไว้ มีการขุดสระน้ำเพื่อเป็นแหล่งน้ำไว้ใช้ในการเกษตร แต่ไม่มีการทำนาเนื่องจากสภาพพื้นที่และ แรงงานที่ไม่เอื้ออำนวย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น